วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

คู่มือศึกษาประวัติศาสตร์โลก ฉบับไม่งี่เง่า (The No-Nonsense Guide to World History)


ผู้แต่ง : CHRIS BRAZIER
แปล : ประสิทธิ์ ตั้งมหาสถิตกุล
ราคา 165 บาท

ตั้งแต่รู้จักเกมส์ Civilization (เลิกเล่นไปนานแล้ว กินเวลามาก)
ก็เริ่มสนใจเรื่องราวทางประวัติศาสตร์เป็นพิเศษ
ใครจะว่าแก่ก็ยอม

เริ่มอยากรู้ว่าเราเป็นใครมาจากไหน
ประวัติศาสตร์แต่ละที่เกิดขึ้นได้อย่างไร?
มนุษย์มีจุดกำเนิดเดียวกันใช่หรือไม่ ?
แล้วเส้นทางการโยกย้ายถิ่นฐานเกิดขึ้นได้อย่างไร?
แล้วมนุษย์เรามาแยกจากกันตอนไหน?
เส้นแบ่งประเทศเกิดขึ้นได้อย่างไร?

ทำไมประเทศแต่ละประเทศจึงพัฒนาได้เร็วช้าต่างกัน?
นี่เป็นคำถามในสมองของผมเสมอมา
ทำไมประเทศซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์พร้อมอย่างประเทศไทย
ภัยธรรมชาติก็น้อยมาก แทบจะเรียกได้ว่าไม่มีเลย
จึงพัฒนาช้ากว่าประเทศที่มีแต่ภูเขาและเกาะอย่างประเทศญี่ปุ่น
ส่วนประเทศที่มีแต่ภูเขาและเกาะเช่นกันอย่างฟิลิปปินส์ทำไมจึงทำไม่ได้เช่นญี่ปุ่น
เป็นเพราะอะไร?

ผมสังเกตประเทศกำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนา
ล้วนแล้วแต่เกาะตัวอยู่ตามแนวเส้นศูนย์สูตรทั้งสิ้น
ประเทศที่พัฒนาแล้วมักอยู่ในแนวเดียวกัน
หรือสภาพอากาศจะมีส่วนทำให้คนเราพัฒนาได้ต่างกัน
ประเทศเราซึ่งมีพร้อมทุกสิ่งทำให้เราขี้เกียจใช่หรือไม่?

ความอุดมสมบูรณ์ทำให้เราไม่จำเป็นต้องดิ้นรน หาวิธีเพาะปลูก วิธีถนอมอาหาร วิธีเลี้ยงสัตว์
การไม่มีภัยธรรมชาติ
ทำให้เราไม่ต้องดิ้นรนหาวิธีสร้างสิ่งก่อสร้างให้แข็งแรงเพื่อกันภัยธรรมชาติ
ไม่จำเป็นต้องค้นคว้าหาความรู้ใหม่ๆเนื่องจากเราก็สามารถอยู่ได้โดยไม่อดตาย
ไม่ต้องออกเรือเดินทางไปแสวงหาแผ่นดินใหม่
เนื่องจากที่เรามีอยู่นั้นมันดีพร้อมอยู่แล้ว หรือไม่?

ความสมบูรณ์พร้อมไม่ต้องดิ้นรนหรือไม่ ? ที่ทำให้เราหยุดอยู่กับที่

นี่เป็นความสงสัยส่วนตัวของผม


ประวัติศาสตร์ที่เราได้รับรู้ เรียนรู้ส่วนใหญ่ มักมีแต่เรื่องของสงคราม
ใครรบกับใคร ใครแพ้ใครชนะอะไรประมาณนั้น
แต่จริงๆแล้วเรื่องราวในประวัติศาสตร์มีมากกว่านั้น
ทั้งเรื่องของความเชื่อ
การทำมาหากิน

ผู้เขียนเริ่มเล่าเรื่องตั้งแต่สมัยก่อนยุคหินเลย

เมื่อประมาณ 150,000 ปีก่อน คศ.
มนุษย์ทุกผู้ทุกนามไม่ว่าพระราชา หรือยาจก นักฟิสิกส์อะตอม
ล้วนมีต้นกำเนิดจากหญิงแอฟริกันคนเดียวกัน
ก่อนจะมาเข่นฆ่ากันเองอย่างทุกวันนี้

เมื่อก่อนเพศแม่เป็นผู้กุมความลับในการให้กำเนิด
ทำให้เทพเจ้าในสมัยก่อนเป็นเพศหญิงทั้งสิ้น
เพิ่งมาเปลี่ยนในตอนหลังนี่เองเมื่อเพศชายรู้ว่า
ตัวเองก็มีส่วนในการให้กำเนิดด้วย

ความคิดความเชื่อและมายาคติผิดๆทั้งหลายที่พวกฝรั่งมันยัดเยียดให้เราเชื่อ
อย่างเรื่องแอฟริกันเป็นดินแดนป่าเถื่อนต้องการความช่วยเหลือปกครองจากพวกผิวขาวนั่น
ก็เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ของพวกล่าอาณานิคม อยากไ้ด้ของเขามาเป็นของตัว
อารยธรรมสูงส่งในแอฟริกามีอยู่แล้ว

ตัวอย่างคลาสสิคของกรณีนี้คือ พระราชวังโชนาแห่งเกรทซิมบับเวในศตวรรษที่14
นักสำรวจผิวขาวกลุ่มแรกไม่ยอมเชื่อว่ามันคือฝีมือของคนแอฟริกัน
กลับบอกว่าคือขุมทรัพย์ของกษัตริย์โซโลมอน
บ้างก็ว่าราชินีแห่งชีบาประทับที่นี่
แนวคิดอันคับแคบและน่ารังเกียจของคนผิวขาวเช่นนี้
คงเป็นต้นกำเนิดความคิดแบบเหยียดผิวในเวลาต่อมา




รูปร่างและสีผิวคนเราแตกต่างกันเพราะสภาพอากาศ
พวกผิวขาวไม่ได้เลอเลิศไปกว่าเราแต่อย่างใด
อ่านประวัติศาสตร์ดูกลับยิ่งน่ารังเกียจเพราะเป็นผู้ริเริ่มการค้าทาส
เลวร้ายที่สุดของความเป็นมนุษย์ด้วยกันแล้ว
นั่นหมายถึงว่ามองทาสไม่ใช่มนุษย์

หรือแม้แต่คนชั่วร้ายอย่างฮิตเลอร์ก็เกิดมาจาก
การเอาเปรียบอย่างร้ายกาจของสังคมโลกนี่เอง

เรื่องเล่าจากอดีตจวบจนถึงปัจจุบัน
เกี่ยวร้อยโยงใยพันกันอย่างน่าประหลาด
ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องสนุกและน่าจดจำไว้เป็นบทเรียน

หนังสือเล่มนี้ดีมากอยากแนะนำให้อ่าน
อ่านสนุกมากวางแทบไม่ลงทีเดียว ไม่วิชาการจ๋าอย่างที่คิด
ผู้เขียนใจกว้างมากในการเขียนอธิบายประวัติศาสตร์
ไม่จมอยู่กับมายาคติเก่าๆ
แต่เปิดมุมมองอื่นๆให้เห็นด้วยในแต่ละกรณี
อ่านแล้วได้คิดตาม
จินตนาการตาม
เกิดเป็นข้อถกเถียงในใจอย่างแสนสนุก

ผมชอบจินตนาการโลกค่อยๆวิวัฒนาการกันไปเื่รื่อยๆอย่างรวดเร็ว
โดยมีตัวเองมองโลกจากบนอวกาศ
โลกก็หมุนไปเรื่อยๆ
เมื่อมีอารยธรรมเกิดขึ้นก็มีแสงไฟเกิดขึ้น
สว่างตรงนู้นตรงนี้บ้าง
พร้อมกันบ้าง หลังกันบ้าง
บ้างก็เกิดสว่างไสว
บ้างโรยแสงดับวูบไป
อยากดูตรงไหนก็ซูมเข้าไปเป็นที่ๆ

หนังสือเล่มนี้ช่วยเติมเต็มจินตนาการของผมครับ
ชอบมาก อยากให้อ่านกัน




Shawshank Redemption

หนึ่งในฉากที่ผมชอบที่สุด
แอนดี้เปิดโมสาร์ทให้เพื่อนนักโทษในคุกฟัง
กักขังตัวได้
แต่หัวใจล้วนล่องลอยออกจากกำแพงคุก
ไปตามเสียงเพลง

"Le nozze di Figaro"

คือชื่อของเพลงๆนั้น :)


วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ภู-มี-ศาสตร์


มาแนะนำหนังสือให้คอเดียวกันอ่านครับ
"ภู มี ศาสตร์"
โดยบินหลา สันกาลาคีรี

ทุกที่ล้วนมีตำนาน ล้วนมีเรื่องเล่าให้กล่าวขวัญถึง
หนังสือเล่มนี้หยิบเอาเรื่องเล่า ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์
และตำนานมาเล่าผ่านภูเขาแต่ละลูกได้อย่างน่าติดตาม

ภูเขาแต่ละลูกล้วนมีความงาม มีมนต์เสน่ห์ไม่แตกต่างไปจากท้องทะเล 
แต่ละเรื่องที่นำมาเล่าล้วนน่าสนใจ

างเรื่องให้ความรู้ทางประวัติศาสตร์

"เขา"ชื่อ"พระยาศรี" 
ประวัติศาสตร์การสู้รบทางการเมือง
ตั้งแต่เมืองหลวงจรดดงพระยาเย็น
ความแตกแยกทางการเมือง
ไม่ได้เพิ่งเริ่มต้นแต่มีมานานแล้ว 
หรือเราไม่เคยจดจำ??


างเรื่องให้ปูมหลัง
แห่งเรื่องราวชนชาติที่รบกันในปัจจุบัน
เราอาจไม่เคยรู้ว่าเขาทำเช่นนั้นไปทำไม

"ภูเขามะกอกเทศ" ที่พระเยซูถูกตรึงกางเขน



"ตากูร์ กาฮร์" เทือกเขาชายแดนแสนกันดารในอัฟกานิสถาน
ที่มหาเศรษฐีชาวซาอุดีอาระเบียยอมทิ้งความสบายจากในเมืองเข้ามาอยู่
เอ่ยชื่อมาคงรู้จักกันดี เขาชื่อ "บิน ลาเดน"
เขาทำเช่นนั้นทำไม
ไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน
ทำไมอเมริกาหาไม่เจอ


างเรื่องให้แรงบันดาลใจ
"จิ่งกังซาน"
ภูเขาที่มั่นของประธานเหมาเจ๋อตุง 
ก่อนถอยร่นหนีกองทัพเกือบล้านคนของเจียงไคเช็ค
เป็การถอยที่ยิ่งใหญ่และยาวนาน
และสร้างแรงบันดาลใจให้กองทัพประชาชนออกมาสู้

การยกพลข้าม "เทือกเขาแอลป์" ของฮานนิบาล
หัวใจห้าวหาญของชาวคาร์เทจ
ทำให้ชาวโรมันตะลึง
ด้วยไม่คิดว่าจะมีใครหาญกล้า
ยกพลข้ามเมือกเขาแอลป์มาได้

และอีกหลายๆภู

"ภูมิศาสตร์" สอนให้เรารู้จักโลกอันกว้างไกล เรามิได้อยู่เพียงแค่บ้านและที่ทำงาน แต่ยังมีที่อื่นๆอีก

"ประวัติศาสตร์" สอนให้เรารู้จักตัวตน ของเราและผู้อื่น

"ตำนาน" ให้แรงบันดาลใจ

"หนังสือ" ให้จินตนาการ

ผมเพิ่งอ่านจบเล่มเมื่อตะกี้



คิดว่าได้มาหลายอย่างเชียวละครับ :)



"ความทรงจำที่ไม่ต้องเสียบปลั๊ก"


วันนี้มานั่งสแกนฟิล์มที่ที่ทำงานไปพลางๆ

ระหว่างที่นั่งทำงานไปด้วย

นึกขึ้นได้ว่าเคยคุยกันเรื่อง 

"ความทรงจำที่ไม่ต้องเสียบปลั๊ก" 
(อันนี้เป็นคำของน้าอ้อน)

ที่เคยคุยกันเล่นๆที่ร้านเหล้ากะน้าอ้อนและจ่าดำ


เรื่องมันมาจาก

"เฮ้ย ได้ดูรูปที่ป๋ามะยม ปริ้นมามั่งป่าว"

"ได้อารมณดีเนอะ"

"ดีกว่าดูในคอม"

บลาๆๆๆ

เดี๋ยวนี้คนปริ๊นท์รูป อัดรูปกันน้อยลง
หรือแทบจะไม่ได้อัดรูปมาชื่นชมกันเลย
ส่วนใหญ่ถ่ายรูปมาด้วยกล้องดิจิตอล

โหลดลงคอมพิวเตอร์เสร็จ

เปิดดู

แล้วก็ทิ้งมันไว้ในฮาร์ดดิสก์อย่างนั้น

ไม่ได้เหลียวแลมันอีก

นานๆครั้งที่นึกถึงจึงไปค้นหามาเปิดดูอีกครั้ง

ผมไม่ปฏิเสธเทคโนโลยี่

ไม่เถียงด้วยว่าดิจิตอลนั้นแสนจะสะดวก
ค้นหาก็รวดเร็วกว่า
ติด tag อะไรก็ได้
ถ่ายมาเมื่อไหร่ก็รู้
ที่ไหนยังรู้เลย
งานตกแต่งก็สวยงามรวดเร็ว

แต่เหมือนเราจะรีบเคี้ยวรีบกลืนยังไงก็ไม่รู้
ความละเมียดชื่นชมกับรูปแต่ละรูปลดลง


เราไม่สามารถจ้องจอคอมพิวเตอร์ได้นานๆเหมือนจ้องกระดาษ
รูปบางรูปต้องการเวลา
บางครั้งมองรูปนั้นนานๆ
ความทรงจำก็ย้อนกลับมาเหมือนกับไทม์แมชชีนเชียว (^^

ผมชอบพลิกดูรูปถ่ายจากอัลบั้ม
มากกว่าดูหน้าจอคอมพิวเตอร์

ผมชอบเขียนอะไรด้านหลังรูปถ่าย
มากกว่านั่งทำ tag บนคอมพิวเตอร์

แน่ละ
คนมีคนบ่นว่า
หูย..รูปเป็นพันๆจะมานั่งทำอย่างนั้นได้ไง

ก็อย่าถ่ายเยอะสิครับ
เลือกเฉพาะที่เด็ดๆแล้วค่อยกดชัตเตอร์


ตั้งแต่กล้องดิจิตอลเริ่มราคาถูก
จนผู้คนสามารถจับต้องได้
กล้องฟิล์มก็เริ่มหายไปเรื่อยๆ
พอๆกับการอัดรูป

เมื่อก่อนเราเห็นโฆษณาฟิล์มบ่อยมาก
มีแทบทุกช่วงเวลาของวัน

เดี๋ยวนี้ไม่เห็นแม้แต่อันเดียว

ผมนึกแปลกใจว่า
บริษัทฟิล์ม หรือบริษัทหมึกพิมพ์ หรือแม้แต่บริษัทผลิตกระดาษอัดรูป
ทำไมไม่ผุดแคมเปญเช่นนี้มาบ้าง

"ความทรงจำทีี่่ไม่มีวันเลือนหาย"

"ความสุขที่ไม่ต้องเสียบปลั๊ก"

ลองดูรูปด้านล่างสิครับ

รูปแม่ผมสมัยมัธยมยังอยู่เลย

ตั้งเกือบห้าสิบปีแล้วมั้ง

ถ้าเป็นดิจิตอลไฟล์
อาจหายไปตอนไวรัสกินคอมหรือตอนไฟกระชาก

หรือถ้าไรท์ลงซีดี
ก็ต้องก๊อปปี้ใหม่ทุกๆ 2-5 ปี
ไม่งั้นก็หายเกลี้ยงเหมือนกัน


ถ่ายฟิล์มหรือดิจิตอลก็ได้

แต่เรามาอัดรูปกันเถอะ!!



mom-1r

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

10 กล้องฟิล์ม ที่น่าเก็บสะสมประจำศตวรรษนี้


10.Rolleiflex 2.8 โรไลเฟล็ก 2.8 เป็นกล้องชนิด Twin Lens Reflex ที่สร้างชื่อให้กับโรไล ใช้ฟิล์มมีเดี่ยมฟอร์แมตขนาด 120 มีชื่อเสียงด้านการถ่ายภาพขาวดำ เลนส์ของโรไลมีการไล่เกรย์สเกลได้ดีมาก ได้ภาพขาวดำที่คมชัด เหมาะแก่การติดอันดับมากๆ
ราคาปัจจุบัน มือสอง ประมาณ 3 หมื่นบาท






9.Cosina CX-2 เป็นกล้อง 35มม. ต้นแบบของกล้อง LOMO LC-A ที่โด่งดัง ปัจจุบันหายากในตลาดของมือสอง มีภาพที่เป็นเอกลักษณ์คือมีขอบดำ อุปกรณ์ที่หายากของกล้องนี้คือ มอเตอร์ขึ้นฟิล์ม ปัจจุบันการขายกล้องรุ่นนี้พร้อมมอเตอร์ขึ้นฟิล ์ม อยู่ที่ประมาณหมื่นต้นๆ




.HOLGA N เป็นกล้องวิวไฟน์เดอร์ มีเดียมฟอร์แมตขนาด 120 ผลิตที่ฮ่องกง กล้องรุ่นนี้อยู่ในข่ายของกล้องของเล่น อุปกรณ์ทุกชิ้นทำจากพลาสติก ได้ภาพที่เป็นเอกลักษณ์คือ มีขอบฟุ้งหรือขอบดำ และที่เด่นที่สุด คือจุดบกพร่องของกล้องรุ่นนี้ที่กลายเป็นสิ่งที ่นักถ่ายภาพแนวโลโม่หลงไหลคือ แสงที่รั่วเข้าฝาหลัง เพราะฝาหลังของมันไม่มีฟองน้ำบุ จึงทำให้มีแสงรั่วเข้าได้ แต่สิ่งนี้ส่งผลให้เกิดภาพที่สวยงามโดยไม่ได้ตั ้งใจ ปัจจุบันยังมีการผลิตอยู่ ราคาประมาณ 1500 บาท



7.Yashica 635 เป็นกล้องมีเดีียมฟอร์แมต ชนิด Twin lens reflex จุดเด่นของมันอยู่ตรงที่ เป็นหนึ่งในไม่กี่รุ่นที่มีอแดปเตอร์สำหรับทำให ้ใส่ฟิล์ม 135 ได้ ซึ่งอุปกรณ์ชิ้นนี้ปัจจุบันหายากพอสมควร




6.LOMO LC-A เป็นกล้องที่ได้ต้นแบบมาจาก Cosina CX-2 แต่กลับมีชื่อเสียงมากกว่า เนื่องจากได้ภาพที่มีเอกลักษณ์ และเป็นกล้องที่ได้ชื่อว่า King of LOMO ผู้ที่ถ่ายภาพแนวโลโม่ควรมีไว้ในครอบครอง เพราะเป็นกล้องที่ให้เอกลักษณ์ของความเป็นโลโม่ มากที่สุด คือมีขอบดำ ให้สีที่อิ่มตัว ปัจจุบันไม่มีการผลิตแล้ว แต่ราคาของใหม่ที่ยังคงค้างสต๊อกอยู่ประมาณ 10000 บาท




5.Rollei 35 ถือเป็นราชาของกล้องวิวไฟน์เดอร์ ใช้เลนส์โรไล ให้ภาพที่มีสีสันสดใส และอ่อนหวานตามสไตล์โรไล มีแหล่งผลิตจากสองที่คือสิงค์โปร์และเยอรมัน ซึ่งเป็นประเทศต้นกำเนิด ปัจจุบัน ตัวที่ผลิตในเยอรมันมีราคาสูงมาก



4.Canon AE-1 เป็นกล้อง SLR ระบบแมนนวลที่สร้างชื่อเสียงให้กับแคนนอนเป็นอย ่างมาก ปัจจุบันรุ่นนี้ได้เข้าทำเนียบกล้องคลาสสิกไปแล ้ว ที่สำคัญ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงเคยใช้กล้องรุ่ นนี้ และได้ปรากฏอยู่ในภาพที่พระองค์ทรงเสด็จเยี่ยมร าษฎร ณ ถิ่นทุรกันดารหลายๆภาพ จนเป็นที่คุ้นตา



3.Nikon FM2 กล้องรุ่นนี้ถือเป็นกล้องฝาแฝดที่สูสีกันมากับ Canon AE-1 ซึ่งทั้งสองรุ่นได้กลายเป็นรุ่นคลาสสิกและหายาก ปัจจุบัน FM2 มีราคาสูงกว่ากล้องรุ่นใหม่หลายรุ่นทีเดียว อีกทั้งกล้องรุ่นนี้ยังเหมาะกับการใช้ฝึกถ่ายหร ือสำหรับการเรียนถ่ายภาพเป็นอย่างมาก เพราะเป็นระบบแมนนวล ต้องใช้ฝีมือของผู้ถ่ายเป็นอย่างมาก ปัจจุบันราคามือสองอยู่ที่ 8000-15000 ขึ้นอยู่กับเลนส์


2.Hasselblad 500CM เชื่อว่ากล้องรุ่นนี้ เป็นรุ่นที่ผู้อ่าน คงจะไม่คุ้นหูมากที่สุด เพราะกล้องรุ่นนี้มีการใช้กันในระดับของการถ่าย แฟชั่น หรือถ่ายภาพทิวทัศน์ ลงแมกกาซีนหรือสิ่งพิมพ์ที่ต้องการภาพที่มีคุณภ าพสูง กล้องรุ่นนี้ผลิตในเยอรมัน เป็นกล้องระบบ SLR ชนิดมีเดียมฟอร์แมต 120 สามารถเปลี่ยนแมกกาซีนใส่ฟิล์มเป็นขนาดต่างๆหรื อใส่ฟิล์มโพลารอยด์เพื่อถ่ายเทสต์แสง ปัจจุบันราคาของมันพร้อมเลนส์ อยู่ในหลักแสนเท่านั้น


1.Leica M6 มาถึงอันดับ 1 ของการจัดอันดับ คงจะเป็นรุ่นไหนไปไม่ได้นอกจากรุ่นนี้ Leica M6 เป็นกล้องระบบ Range Finder ผลิตที่ประเทศเยอรมัน เ้ชื่อว่าคนที่อยู่ในวงการถ่ายภาพคงจะไม่มีใครไ ม่รู้จัก หรือแม้พระเจ้าอยู่หัวของคนไทย ก็ยังทรงใช้กล้องรุ่นนี้ ผมเคยอ่านเจอว่า บริษัทไลก้าได้ผลิตกล้องรุ่นเฉพาะของพระองค์เอง ถวาย ผมคิดว่าบริษัทไลก้าคงได้เห็นพระปรีชาสามารถของ ท่านในด้านการถ่ายภาพ สิ่งที่สร้างชื่อให้กับกล้องยี่ห้อนี้คือเลนส์ เลนส์ของไลก้าเป็นเลนส์ที่มีคุณภาพและราคาสูงมา ก จนขนาดที่บางคนบอกว่า หากซื้อเลนส์ของไลก้าบางรุ่น มูลค่าของเลนส์สามารถนำไปซื้อบอดี้ของกล้องได้ถ ึง 2 ตัวเลยทีเดียว เหตุที่ราคาสูงเพราะชิ้นเลนส์ของไลก้าผลิตที่ปร ะเทศเยอรมันซึ่งมีทรายที่ได้ชื่อว่าเป็นทรายที่ ดีที่สุดในโลก ซึ่งทางไลก้าได้ใช้ทรายนั้นในการผลิตเลนส์ อีกทั้งเลนส์ของไลก้ายังมีการหมักเลนส์เพื่อให้ เลนส์คงสภาพอยู่หลายๆปี กว่าจะนำออกมาขาย เพื่อให้ได้เลนส์ที่ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้ ปัจจุบันกล้องรุ่นนี้ถูกจัดให้อยู่ในหนึ่งในกล้ องตัวสำคัญของโลก เป็นหนึ่งในการพัฒนาไปอีกระดับของกล้องในยุคหนึ ่ง ราคาของบอดี้ไลก้ามีตั้งแต่ หลักหมื่นบาท ส่วนเลนส์นั้น มีหลายระยะใ้ห้เลือกใช้ ซึ่งมีราคาอยู่หลักหมื่นถึงหลักแสน ถึงจะเป็นราคาที่แพง แต่หากได้เห็นภาพที่ถ่ายจากไลก้าแล้ว คงจะคิดว่า ราคาที่จ่ายไปนั้น คุ้มค่ากับผลงานที่ได้ออกมาเป็นอย่างยิ่ง




ที่มา; จำเวปไม่ได้ ขอโทษคุณคนเขียนด้วย

กว่าจะมาเป็นแผ่นเสียง - How Vinyl Records Are Made

เขาทำแผ่นเสียงกันยังไงมาดูกันครับ





วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Shortcut to know Hasselblad Story

Hasselblad ก่อตั้งโดย Victor Hasselblad ชาวสวีเดนครับ
Carl ziess ผู้ผลิตเลนส์ระดับโลก ให้กับ Hasselblad อยู่เยอรมันครับ
Hasselbald คือกล้องสองสัญชาติ นี่คือการให้เกียรติกันอย่างน่ายกย่อง
ความจริง Hasselblad จะเหมาเป็นเลนส์ตัวเองตั้งแต่แรกผลิตก็ไม่มีใครรู้ครับ

HASSELBLAD พอจะแบ่งประเภทคร่าวๆ ได้ดังนี้ครับ
Series V
Series 200
Series 900
Series 2000
ArcBody
FlexBody
Series H

Series V หมายถึงกล้องตระกูล 500
เป็นกล้องระบบกลไกล้วนๆ ครับ

เช่น 500C > 500CM > 501CM
503CX > 503CXi > 503CW
500EL > 500ELM > 500ELX > 553ELX > 555ELD
(500EL series มีมอเตอร์ในตัวสำหรับเลื่อนฟิล์มอัตโนมัติ)

Series 200 หมายถึงกล้องตระกูล 200 เป็นกล้องระบบไฟฟ้าที่ทันสมัย
และมีความแม่นยำในการทำงานสูงมาก
เช่น 205 TCC >
202 FA > 203 FA > 203 FE

Sereis 900 เป็นกล้องที่ออกแบบให้ถ่ายภาพในมุมกว้างเช่น Landscape หรือ Architecture Body ติดเลนส์มุมกว้างตายตัวถอดเปลี่ยนไม่ได้ คือ Biogon 38mm T+ ให้ความคมชัดสูงมากๆ
เช่น 903 SW > 903 SWC 905 SWC

Seires 2000 เป็นกล้องที่มี Shutter speed ที่ตัวกล้อง ใช้กับเลนส์ F series [ ไม่มีชัตเตอร์ที่ตัวเลนส์หมือนอย่างเลนส์ C CF series เฉพาะเรื่องเลนส์ต้องอีกหัวข้อนึงแล้วละครับ]
เช่น 2000 FC > 2000 FCW

ArcBody เป็นกล้องที่ออกแบบให้ถ่ายภาพแนวสถาปัตยกรรมโดยเฉพาะ ผลิตน้อยมากและผลิตช่วงสั้นๆ เพียง 3-4 เท่านั้นก็เลิกผลิต

ArcBody มีเลนส์ สามตัวคือ 35mm 45mm 75mm แต่ละตัวราคาเกินเอื้อมครับ (เลนส์ทั้งสามตัว ชไนเดอร์ ผลิตให้ครับ ไม่ใช่ Carl Ziess แต่ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในสองของโลกที่ผลิตเลนส์ได้ดีมาก )

FlexBody ออกแบบให้มีการทำงานคล้ายๆ กับกล้อง Large Format ในขนาดย่อส่วนเป็น Medium Format [คงนึกภาพออกนะครับกล้องที่มีเพียงกระดาษหรือผ้าพับๆ เรียกว่า Bellow ] ปรับ Shift tilt and swing ได้เหมือน Large format หรือ กล้อง4x5 แต่ไม่ได้มากนักครับ ใช้เลนส์ CF series ตั้งแต่ 40mm-60mm ในกรณีถ่าย Architech 80mm-250mm ในกรณีถ่าย product shot ครับ ไม่เหมาะกับการนำมาถ่ายภาพ Portrait อย่างยิ่ง เพราะโฟกัสยากและทำทำงานได้ช้า

Series H คือกล้องแบบใหม่ที่ Hasselblad ไมเคยคิดที่จะผลิต แต่ก็จำเป็นต้องทำเพื่อความอยู่รอด
Series H คือกล้อง Medium format 645 AF [Film size 6x4.5cm] Auto Focus ไม่ใช่ 6x6cm เหมือนที่เคยผลิต Fuji จากแดนอาทิตย์อุทัยคือที่ที่ Hasselblad ร่วมห้วจมท้ายด้วย Hasselblad H1 จึงถือกำเนิดขึ้น ตามมาด้วย H2 และ H3 ซึ่งตอนนี้ใช้ Digital back ล้วนๆ ไม่มีฟิล์มอีกแล้วสำหรับกล้องตระกูลนี้

[ หมายเหตุ : Series H ผลิตโดย Fuji Japan > Made in Japan 100% ]
ขอบคุณเจ้าของกระทู้มากครับ ที่เปิดโอกาสให้ผมได้มาเล่าเรื่องราวของ Hasselblad ให้กับบรรดาผู้ใฝ่หาความรู้ ได้รับรู้ข้อมูลเบื้องต้น


Hassy User

The Practical Zone System for Film and Digital Photography

The Practical Zone System for Film and Digital Photography

The PEN Story



โฆษณากล้อง Olympus PEN
ถ่ายแบบ Stop motion
กว่า 60000 ภาพ
ชอบไอเดีย(แม้จะไม่ได้เป็นคนคิดเอง)
เพลงเพราะ
ดูแล้วอยากได้กล้องจัง :)


Down Below
Johannes Stankowski

Be just who you want to be, my friend
You just got to trust in fate.
Do the things you want to do ‘cause life don’t wait
Take it easy, keep your head up high
No need for sorrow and despair
Just keep on moving, it’s such a wonderous world out there

The years are flashing by and everything will change
But way down deep inside - we all just stay the same
And down below
Old memories come alive and then we know
Down below

It’s a long road we all got to walk
But there’s an awful lot to see
And the sun keeps rising up wherever you may be
Fly the ocean, dive into the blue
No need for sorrow and despair
Just keep moving, it’s such a wonderous world out there

The years are flashing by and everything will change
But way down deep inside - we all just stay the same
And down below
Old memories come alive and then we know
Down below

The years are flashing by and everything will change
But way down deep inside - we all just stay the same
And down below
Old memories come alive and then we know
Down below

วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

The Photographer 's Eye - Composition and Design for Better Digital Photos

โดย Michael Freeman

หนังสือเล่มนี้ดีมากๆ
จะช่วยให้เรารู้จักมองแบบมีจังหวะ
คอมโพสิชั่น การวางกรอบรูป
คิดก่อนที่จะกดชัตเตอร์
ภาพถ่ายของคุณจะดูดีขึ้นเยอะครับ :)


โดนลบเสียแล้วเอาใหม่ตามลิงค์นี้นะครับ




http://depositfiles.com/files/wnssqmeia