วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

คู่มือศึกษาประวัติศาสตร์โลก ฉบับไม่งี่เง่า (The No-Nonsense Guide to World History)


ผู้แต่ง : CHRIS BRAZIER
แปล : ประสิทธิ์ ตั้งมหาสถิตกุล
ราคา 165 บาท

ตั้งแต่รู้จักเกมส์ Civilization (เลิกเล่นไปนานแล้ว กินเวลามาก)
ก็เริ่มสนใจเรื่องราวทางประวัติศาสตร์เป็นพิเศษ
ใครจะว่าแก่ก็ยอม

เริ่มอยากรู้ว่าเราเป็นใครมาจากไหน
ประวัติศาสตร์แต่ละที่เกิดขึ้นได้อย่างไร?
มนุษย์มีจุดกำเนิดเดียวกันใช่หรือไม่ ?
แล้วเส้นทางการโยกย้ายถิ่นฐานเกิดขึ้นได้อย่างไร?
แล้วมนุษย์เรามาแยกจากกันตอนไหน?
เส้นแบ่งประเทศเกิดขึ้นได้อย่างไร?

ทำไมประเทศแต่ละประเทศจึงพัฒนาได้เร็วช้าต่างกัน?
นี่เป็นคำถามในสมองของผมเสมอมา
ทำไมประเทศซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์พร้อมอย่างประเทศไทย
ภัยธรรมชาติก็น้อยมาก แทบจะเรียกได้ว่าไม่มีเลย
จึงพัฒนาช้ากว่าประเทศที่มีแต่ภูเขาและเกาะอย่างประเทศญี่ปุ่น
ส่วนประเทศที่มีแต่ภูเขาและเกาะเช่นกันอย่างฟิลิปปินส์ทำไมจึงทำไม่ได้เช่นญี่ปุ่น
เป็นเพราะอะไร?

ผมสังเกตประเทศกำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนา
ล้วนแล้วแต่เกาะตัวอยู่ตามแนวเส้นศูนย์สูตรทั้งสิ้น
ประเทศที่พัฒนาแล้วมักอยู่ในแนวเดียวกัน
หรือสภาพอากาศจะมีส่วนทำให้คนเราพัฒนาได้ต่างกัน
ประเทศเราซึ่งมีพร้อมทุกสิ่งทำให้เราขี้เกียจใช่หรือไม่?

ความอุดมสมบูรณ์ทำให้เราไม่จำเป็นต้องดิ้นรน หาวิธีเพาะปลูก วิธีถนอมอาหาร วิธีเลี้ยงสัตว์
การไม่มีภัยธรรมชาติ
ทำให้เราไม่ต้องดิ้นรนหาวิธีสร้างสิ่งก่อสร้างให้แข็งแรงเพื่อกันภัยธรรมชาติ
ไม่จำเป็นต้องค้นคว้าหาความรู้ใหม่ๆเนื่องจากเราก็สามารถอยู่ได้โดยไม่อดตาย
ไม่ต้องออกเรือเดินทางไปแสวงหาแผ่นดินใหม่
เนื่องจากที่เรามีอยู่นั้นมันดีพร้อมอยู่แล้ว หรือไม่?

ความสมบูรณ์พร้อมไม่ต้องดิ้นรนหรือไม่ ? ที่ทำให้เราหยุดอยู่กับที่

นี่เป็นความสงสัยส่วนตัวของผม


ประวัติศาสตร์ที่เราได้รับรู้ เรียนรู้ส่วนใหญ่ มักมีแต่เรื่องของสงคราม
ใครรบกับใคร ใครแพ้ใครชนะอะไรประมาณนั้น
แต่จริงๆแล้วเรื่องราวในประวัติศาสตร์มีมากกว่านั้น
ทั้งเรื่องของความเชื่อ
การทำมาหากิน

ผู้เขียนเริ่มเล่าเรื่องตั้งแต่สมัยก่อนยุคหินเลย

เมื่อประมาณ 150,000 ปีก่อน คศ.
มนุษย์ทุกผู้ทุกนามไม่ว่าพระราชา หรือยาจก นักฟิสิกส์อะตอม
ล้วนมีต้นกำเนิดจากหญิงแอฟริกันคนเดียวกัน
ก่อนจะมาเข่นฆ่ากันเองอย่างทุกวันนี้

เมื่อก่อนเพศแม่เป็นผู้กุมความลับในการให้กำเนิด
ทำให้เทพเจ้าในสมัยก่อนเป็นเพศหญิงทั้งสิ้น
เพิ่งมาเปลี่ยนในตอนหลังนี่เองเมื่อเพศชายรู้ว่า
ตัวเองก็มีส่วนในการให้กำเนิดด้วย

ความคิดความเชื่อและมายาคติผิดๆทั้งหลายที่พวกฝรั่งมันยัดเยียดให้เราเชื่อ
อย่างเรื่องแอฟริกันเป็นดินแดนป่าเถื่อนต้องการความช่วยเหลือปกครองจากพวกผิวขาวนั่น
ก็เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ของพวกล่าอาณานิคม อยากไ้ด้ของเขามาเป็นของตัว
อารยธรรมสูงส่งในแอฟริกามีอยู่แล้ว

ตัวอย่างคลาสสิคของกรณีนี้คือ พระราชวังโชนาแห่งเกรทซิมบับเวในศตวรรษที่14
นักสำรวจผิวขาวกลุ่มแรกไม่ยอมเชื่อว่ามันคือฝีมือของคนแอฟริกัน
กลับบอกว่าคือขุมทรัพย์ของกษัตริย์โซโลมอน
บ้างก็ว่าราชินีแห่งชีบาประทับที่นี่
แนวคิดอันคับแคบและน่ารังเกียจของคนผิวขาวเช่นนี้
คงเป็นต้นกำเนิดความคิดแบบเหยียดผิวในเวลาต่อมา




รูปร่างและสีผิวคนเราแตกต่างกันเพราะสภาพอากาศ
พวกผิวขาวไม่ได้เลอเลิศไปกว่าเราแต่อย่างใด
อ่านประวัติศาสตร์ดูกลับยิ่งน่ารังเกียจเพราะเป็นผู้ริเริ่มการค้าทาส
เลวร้ายที่สุดของความเป็นมนุษย์ด้วยกันแล้ว
นั่นหมายถึงว่ามองทาสไม่ใช่มนุษย์

หรือแม้แต่คนชั่วร้ายอย่างฮิตเลอร์ก็เกิดมาจาก
การเอาเปรียบอย่างร้ายกาจของสังคมโลกนี่เอง

เรื่องเล่าจากอดีตจวบจนถึงปัจจุบัน
เกี่ยวร้อยโยงใยพันกันอย่างน่าประหลาด
ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องสนุกและน่าจดจำไว้เป็นบทเรียน

หนังสือเล่มนี้ดีมากอยากแนะนำให้อ่าน
อ่านสนุกมากวางแทบไม่ลงทีเดียว ไม่วิชาการจ๋าอย่างที่คิด
ผู้เขียนใจกว้างมากในการเขียนอธิบายประวัติศาสตร์
ไม่จมอยู่กับมายาคติเก่าๆ
แต่เปิดมุมมองอื่นๆให้เห็นด้วยในแต่ละกรณี
อ่านแล้วได้คิดตาม
จินตนาการตาม
เกิดเป็นข้อถกเถียงในใจอย่างแสนสนุก

ผมชอบจินตนาการโลกค่อยๆวิวัฒนาการกันไปเื่รื่อยๆอย่างรวดเร็ว
โดยมีตัวเองมองโลกจากบนอวกาศ
โลกก็หมุนไปเรื่อยๆ
เมื่อมีอารยธรรมเกิดขึ้นก็มีแสงไฟเกิดขึ้น
สว่างตรงนู้นตรงนี้บ้าง
พร้อมกันบ้าง หลังกันบ้าง
บ้างก็เกิดสว่างไสว
บ้างโรยแสงดับวูบไป
อยากดูตรงไหนก็ซูมเข้าไปเป็นที่ๆ

หนังสือเล่มนี้ช่วยเติมเต็มจินตนาการของผมครับ
ชอบมาก อยากให้อ่านกัน




ไม่มีความคิดเห็น: